การใช้วารสารในการโฆษณาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เป็นที่รู้จัก

การใช้สื่อโฆษณาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นับเป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งของผู้ดำเนินธุรกิจประเภทนี้ เนื่องจากสินค้าอสังหาริมทรัพย์ มีความหมายตามชื่อ คือเป็นสินค้าที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายไปให้ลูกค้าเป้าหมายชมได้ถึงที่ จึงจำเป็นต้องใช้สื่อโฆษณาจำนวนมากเพื่อจูงใจให้ลูกค้ามาเยี่ยมชม ณ สถานที่ตั้งสินค้า ซึ่งก็คือที่โครงการบ้านจัดสรรหรือคอนโดมิเนียมลูกค้าเป้าหมายของสินค้าอสังหาริมทรัพย์ อยู่กันอย่างกระจัดกระจาย ไม่ได้รวมตัวกันอยู่เป็นกลุ่มก้อน และไม่มีสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งที่จะเป็นแหล่งรวมหรือที่ชุมนุมกันของคนกลุ่มนี้

นอกจากนี้ สินค้าอสังหาริมทรัพย์ไม่ใช่สินค้าที่ซื้อซ้ำ ในวงจรชีวิตของลูกค้าจะซื้อสินค้าบ้านเมื่อเริ่มต้นมีครอบครัวเป็นครั้งแรก ต่อมาบางส่วนเมื่อมีรายได้มากขึ้นก็จะซื้อบ้านที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และมีเพียงส่วนน้อยที่ซื้อบ้านพักไว้สำหรับวัยชรา กล่าวได้ว่า คนส่วนใหญ่ในตลอดช่วงชีวิตจะมีการซื้อสินค้าที่อยู่อาศัยเพียงครั้งเดียวดังนั้น จึงทำให้การสื่อสารการตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยุ่งยากทำให้งบค่าใช้จ่ายด้านการโฆษณาประชาสัมพันธ์โครงการอสังหาริมทรัพย์ เป็นงบประมาณที่ค่อนข้างสูง ถ้าไม่นับเงินลงทุนซื้อที่ดิน เงินค่าก่อสร้างแล้ว งบค่าโฆษณาน่าจะเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำที่สามารถบริหารงบโฆษณามีประสิทธิภาพสูงสุด สามารถควบคุมวงเงินได้ที่ประมาณ 1.5% ของยอดขาย แต่ส่วนใหญ่มักจะอยู่ที่ประมาณ 3.0-5.0% ทั้งนี้ไม่นับรวมการรณรงค์โฆษณาประชาสัมพันธ์กรณีพิเศษ เช่น การเตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ การสร้างภาพลักษณ์เปิดตัวโครงการใหม่

ปัญหาใหญ่หรือข้อขัดแย้งพื้นฐานของการใช้งบโฆษณาอสังหาริมทรัพย์ คือ สินค้าอสังหาริมทรัพย์ประเภทบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียมนั้น เป็นสินค้าท้องถิ่น แต่สื่อโฆษณาที่ใช้ส่วนใหญ่จำเป็นต้องใช้สื่อแมสมีเดียที่ครอบคลุมทั่วประเทศพฤติกรรมการซื้อที่อยู่อาศัยนั้น คนที่เคยอยู่ทำเลไหน ก็มักจะซื้อบ้านในย่านนั้นๆ เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากปัจจัยในการพิจารณาทำเลของผู้บริโภคนั้นขึ้นอยู่กับสถานที่ทำงานของพ่อแม่ สถานศึกษาของลูกและบ้านญาติพี่น้องเป็นสำคัญ แม้แต่ในพื้นที่ของกรุงเทพฯ และจังหวัดปริมณฑลเอง หากแบ่งแยกพื้นที่ออกเป็นโซนใหญ่ๆ แล้ว จะพบว่าประมาณ 60% คนจะซื้อบ้านในโซนเดิม อีกประมาณ 30-40% จึงมีการเคลื่อนย้ายไปซื้อบ้านในโซน อื่นของกรุงเทพฯ